วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทักษะที่สำคัญในอนาคตอันใกล้

ทักษะที่สำคัญในอนาคตอันใกล้

World Economic Forum (WEF) ได้จัดทำวิจัยโดยสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงด้านการบุคคล ซึ่งดูแลพนักงานกว่า 13 ล้านคน ใน 9 อุตสาหกรรม ใน 15 ประเทศทั่วโลกเมื่อปี 2558 แสดงไว้ในรายงานบทวิจัยเรื่อง งานในอนาคต (The Future of Jobs) เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม 2559 เพื่อศึกษาว่าทักษะการทำงานไหนจะมีความสำคัญมากที่สุดในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ.2563 ดิฉันเห็นว่าน่าสนใจจึงอยากจะนำมาเล่าในวันนี้
ในอีก 4 ปีข้างหน้า ทักษะการทำงานที่จะมีความสำคัญสิบอันดับแรก คือ 1. การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน  2. การคิดแบบวิเคราะห์  3. ความคิดสร้างสรรค์  4. การบริหารบุคคล  5. การประสานงานกับคนอื่น  6. ความฉลาดทางอารมณ์  7. การใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจ  8. การบริการ  9. การเจรจาต่อรอง  10. ความยืดหยุ่นในการเรียนรู้
ในทักษะ 10 อย่างนี้ มีสองอย่างที่เพิ่มอันดับขึ้นมาจากการสำรวจทักษะที่สำคัญในปี 2015 คือข้อที่ 6. ความฉลาดทางอารมณ์ และข้อที่ 10. ความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ โดยมาแทนที่ ทักษะในการควบคุมคุณภาพ และทักษะในการฟังอย่างตั้งใจ
ดิฉันสันนิษฐานว่า ผู้บริหารเหล่านี้เห็นว่าต่อไปการควบคุมคุณภาพจะถูกแทนที่โดยปัญญาประดิษฐ์ ความสำคัญของทักษะนี้ในตัวพนักงานจึงลดลงไป และเนื่องจากเทคโนโลยีได้พัฒนาไปกว้างไกล สามารถอัดเสียงและเล่นกลับได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ทักษะในการฟังอย่างตั้งใจจึงลดความสำคัญลงไป ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าพนักงานในโลกอนาคตไม่จำเป็นต้องมีทักษะเหล่านี้นะคะ ดิฉันคิดว่าใครมีทักษะเรื่องการควบคุมคุณภาพและการฟังอย่างตั้งใจ จะช่วยเสริมให้เป็นพนักงานแนวหน้าได้ค่ะ
ในอนาคต ปัญญาประดิษฐ์จะสามารถทำหน้าที่ตัดสินใจได้แทนคน โดยการประมวลข้อมูลจากอดีต ถ้าท่านใช้สมาร์ทโฟนท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า หากเรามี email ของคนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาไว้ พอคนคนนี้โทร.เข้ามาหาเรา เครื่องจะแจ้งเราว่า “อาจจะเป็นคุณ……” นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของความฉลาดของเครื่อง
อุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงของโลก ได้เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและการลงทุนเป็นอุตสาหกรรมต่อไปที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
จากการสอบถามผู้บริหารทางด้านการบุคคลในอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนว่า มีแผนที่จะดำเนินการอย่างไร ส่วนใหญ่ตั้งใจจะลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนทักษะที่จำเป็นแก่พนักงานค่ะ และได้แสดงความเห็นว่าอุปสรรคที่สำคัญคือ การที่พนักงานไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงใหม่ในลักษณะ Disruptive Change ซึ่งคือการเปลี่ยนแปลงโดยใช้นวัตกรรม
ยุคนี้ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 โดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคแรก เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1784 เมื่อมีการคิดค้นนำไอน้ำ และน้ำ มาเป็นแรงดันหมุนเครื่องจักรกล  ยุคที่สอง ตั้งแต่ปี 1870 เป็นต้นมา ที่มีการแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) มีการค้นพบไฟฟ้า และมีการผลิตจำนวนมากแบบ Mass Production
ยุคที่สาม เริ่มในปี 1969 เป็นการเริ่มต้นของอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลและสารสนเทศ และการผลิตแบบอัตโนมัติ
และการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่สี่ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเริ่มในปีใด เป็นยุคของกายภาพไซเบอร์ การนำสมองกล ปัญญาประดิษฐ์มาใช้ มีหุ่นยนต์ที่มีการพัฒนามากขึ้น มีการคมนาคมที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ มีสมองกลและการเรียนรู้ของเครื่องจักร มีความก้าวหน้าของวัสดุศาสตร์ ไบโอเทคโนโลยี และศาสตร์เกี่ยวกับยีนส์ หรือที่เรียกว่า จีโนมิกส์(สาขาหนึ่งของชีววิทยาโมเลกุลว่าด้วยชุดของสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต)
เชื่อว่าการพัฒนาเหล่านี้ จะเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิต และการทำงานของเรา
มีสุนทรพจน์ที่น่าสนใจซึ่ง มิสเตอร์ เคล้าส์ ชวาบส์ (Klaus Schwab) ผู้ก่อตั้งและประธาน WEF กล่าวในการประชุมที่นิวซีแลนด์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2558 ถึงเทคโนโลยีว่า ปัจจุบันเป็นยุคเศรษฐกิจที่ผู้คนใช้เทคโนโลยีตามสั่ง (on demand) และแบ่งปัน (Sharing) ซึ่งทำให้ข้อมูลต่างๆขยายความไปได้กว้างไกลมาก รัฐบาลและองค์กรภาครัฐต้องปรับตัว โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพ เพราะแต่เดิม การกำกับดูแลเป็นในลักษณะบนลงล่าง หรือ Top-Down คือรัฐจะคำนึงถึงผลกระทบ แล้วจึงออกกฎ และบังคับใช้
ในอนาคต รัฐจะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะกำกับดูแล และต้องประสานงาน ร่วมมือ และทำงานแบบร่วมแรงร่วมใจกับภาคธุรกิจอย่างใกล้ชิด
ในมุมของความมั่นคงและความปลอดภัยภัย เทคโนโลยีใหม่และอาวุธอัตโนมัติทำให้คน หรือกลุ่มคนเล็กๆสามารถก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่ได้ รัฐจึงต้องใช้เทคโนโลยีในการป้องกัน โดยลดโอกาสเกิด และใช้เทคโนโลยีในการบรรเทาความเสียหาย
ที่มา เรียบเรียงจากเอกสารของ World Economic Forum ในช่วงเวลาต่างๆที่ผ่านมาในปีนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น